ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทสัมภาษณ์ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ถึงมุมมองต่อคนรุ่นใหม่

บทสัมภาษณ์                                             อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ถึงมุมมองต่อคนรุ่นใหม่

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ประวัติ                                                                                                                                       
เป็นชาวหมู่บ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย
เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายฮั่วชิว แซ่โค้ว
(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายไพศาล) และนางพรศรี อยู่สุข
ทำคลอดด้วยหมอตำแย  ชื่อยายตุ่น
ชีวิตตอนเด็กๆ เป็นคนเกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่มีความชอบวาดรูป
จึงพยายามเข้าเรียนที่เพาะช่าง และมหาวิทยาลัยศิลปากร เคยได้รับเหรียญทองจากการประกวดผลงานระดับชาติ

การศึกษา: มหาวิทยาลัยศิลปากร (พ.ศ. 2520)
รางวัล: รางวัลศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์
ผลงาน: วัดร่องขุ่น

ความคิดริเริ่มที่สร้างวัดร่องขุ่น
                เริ่มแรกสร้างวัด ผม (อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์) คิดเพียงกะสร้างโบสถ์ 1 หลังสวยๆ ใช้เวลาสัก 10 ปีก็มากพอ สร้างไปได้ 2 ปี คนชอบกันมาก เริ่มมองสิ่งก่อสร้างภายในวัด ขี้เหร่ไม่สวย ดูไม่เข้ากับโบสถ์ อุตริสั่งรื้อทิ้งหมด เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูวัด ประปาหมู่บ้านหน้าวัด ศาลาอ่านหนังสือ ศาลาการเปรียญ หอฉัน กุฏิพระหลังเก่าของแม่สร้างอุทิศให้อาก๋งที่ผมเคยวาดรูปติดหน้าบันไว้เมื่อเป็นเด็กศิลปากรปี 4 สุดท้ายปีนี้ 2548 ทุบกุฏิใหญ่ของพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหมดทิ้งเป็นหลังสุดท้าย จึงไม่เหลืออะไรเลยที่เป็นของเก่าสมัยท่านเจ้าอาวาส พระครูไสวสร้างไว้ (มรณภาพปี 2546)ผมต้องทุบทิ้งเพราะเป็นของเก่าที่ไม่มีค่าทางสุนทรีภาพ เป็นช่างรับเหมาห่วยๆ ราคาถูกๆ สร้างประมาณ 10 – 20 ปีนี่เองพอทุบของเขาทิ้งก็เลยคิดสร้างเพิ่ม แต่ที่ดินวัดไม่พอเลยซื้อเพิ่มครับ อีกไร่กว่าก็ยังไม่พออีก หากสร้างไปก็จะเบียดเบียนกันดูไม่สวย จึงติดต่อขอซื้อที่จากเศรษฐีกรุงเทพฯ เพิ่ม แต่เป็นบุญของพระศาสนาครับท่านใจบุญยกให้ฟรีๆไร่กว่าๆ ที่วัดตกสี่เหลี่ยมพอดีเวลาผ่านไป 5 ปี คนมาชื่นชมกันเยอะมากจนหาที่จอดรถลำบาก และดันแพ้เสียงเชียโดยเฉพาะพวกฝรั่งมันยกย่องออกอาการมาก เลยบ้าตามมัน เปลี่ยนความคิดเป็นสร้างให้สวยระดับโลกให้ได้เอาล่ะวะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลุยเต็มสูบกันเลย ผมขอที่เพิ่มจากคุณวันชัย วิชญชาคร เศรษฐีใจบุญเป็นครั้งที่สอง ท่านก็เห็นแก่พระศาสนา ประเทศชาติ บอกผมว่าเอาเลยอาจารย์ จะเอาเท่าไหร่ก็ถมเอาเถอะ ผมมีร้อยกว่าไร่หลังวัผมคนขี้เกรงใจครับ ขอแค่พอสร้างให้ครบ 9 หลัง ได้เพิ่มอีกประมาณ 3 ไร่กว่า รวมวัดมีเนื้อที่จาก 3 ไร่กว่าเป็น 9 ไร่กว่าๆพอแล้วครับ ภูมิทัศน์ลงตัวสวนพอดีครับ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ผมแบ่งที่ดินเป็น 3 เขตหนึ่ง  เขตพุทธวาส ผมชอบเรียกว่าพุทธภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า จะอยู่ด้านขวา มีเสานางเรียกตั้งโปร่งๆ เป็นเขตแดนประกอบด้วยโบสถ์ หอพระธาตุ สะพานสุขาวดีข้ามน้ำไปสู่ยังหอพระอีกหลังสอง เขตสังฆาวาส อยู่ด้านซ้ายด้านเดียวกับเขตฆราวาส จะประกอบด้วยกุฏิพระและหอวิปัสสนา จุคนประมาณ 200 คน สำหรับบรรยายธรรมขั้นสูงและฝึกวิปัสสนากรรมฐานสาม เขตฆราวาส อยู่ด้านซ้ายมือหลังแรก เป็นหอศิลป์ ข้างล่างห้องโถใหญ่ใช้เป็นที่จำหน่ายผลงานสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึกต่างๆ ห้องวีดิทัศน์เพื่อบรรยาย จุคนประมาณ 50 คน

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างวัดมาจาก 3 สิ่งต่อไปนี้คือ
ชาติ : ด้วยความรักบ้านเมือง รักงานศิลป์ จึงหวังสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
ศาสนา : ธรรมะได้เปลี่ยนชีวิตของอาจารย์เฉลิมชัยจากจิตที่ร้อนกลายเป็นเย็น จึงขออุทิศตนให้แก่พระพุทธศาสนา
พระมหากษัตริย์ : จากการเข้าเฝ้าฯ ถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง ทำให้อาจารย์เฉลิมชัย รักพระองค์ท่านมาก จากการพบเห็นพระอัจฉริยะภาพทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์ท่าน จนบังเกิดความตื้นตันและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงปรารถนาที่จะสร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะประจำรัชกาลพระองค์ท่าน


          วัดร่องขุ่น สร้างพุทธศิลป์เพื่อแผ่นดิน ถวายเป็นพุทธบูชา วัดร่องขุ่น เป็นวัดที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินของจังหวัดเชียงราย เพื่อมุ่งสร้างงานพุทธศิลป์ที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองและประกาศความยิ่งใหญ่ต่อคนทั้งโลกเพื่อถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในนาม "White Temple" ระยะเวลาในการสร้างนั้นไม่มีกำหนดจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งได้วางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วทั้งลูกศิษย์ที่สานต่อและทุนทรัพย์ ประชาชนคนไทยต้องหาโอกาสสักครั้งเพื่อมาชมวัดร่องขุ่น งานพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ให้ได้
           
          วัดร่องขุ่น เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 โดยท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชั้นแนวหน้าของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างมาจาก3 สิ่งต่อไปนี้คือ
         1. ชาติ : ด้วยความรักบ้านเมือง รักงานศิลป์ จึงหวังสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
          2. ศาสนา : ธรรมะได้เปลี่ยนชีวิตของอาจารย์เฉลิมชัยจากจิตที่ร้อนกลายเป็นเย็น จึงขออุทิศตนให้แก่พระพุทธศาสนา
          3. พระมหากษัตริย์ : จากการเข้าเฝ้าฯ ถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง ทำให้อาจารย์เฉลิมชัยรักพระองค์ท่านมาก จากการพบเห็นพระอัจฉริยะภาพทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์ท่าน จนบังเกิดความตื้นตันและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
                ดังนั้นอาจารย์จึงได้สร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะประจำรัชกาลพระองค์ท่าน โดยปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ บนพื้นที่เดิมของวัด 3 ไร่ และอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้บริจาคทรัพย์สินส่วนตัว และคุณวันชัย วิชญชาคร เป็นผู้บริจาคที่ดินประมาณ 7 ไร่เศษ
รวมเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาอื่นๆ จนถึงปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 12 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน


                ลักษณะเด่นของวัดคือพระอุโบสถที่ตกแต่งด้วยสีขาวเป็นพื้น ประดับด้วยกระจกแวววาววิจิตรงดงามแปลกตา บนปูนปั้นเป็นลายไทย โดยเฉพาะภาพพระพุทธองค์หลังพระประธานซึ่งเป็นภาพที่ใหญ่งดงามมาก เหนืออุโบสถที่ประดับด้วยสัตว์ในเทพนิยาย เป็นรูปกึ่งช้างกึ่งวิหคเชิดงวงชูงา ดูงดงามแปลกตาน่าสนใจมาก ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถก็เป็นฝีมือภาพเขียนของอาจารย์เอง
ความหมายของอุโบสถ
                ขาวของโบสถ์แทนพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า กระจกขาวหมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล
                สะพาน หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ ก่อนขึ้นสะพานครึ่งวงกลมเล็กหมายถึง โลกมนุษย์ วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญามาร หรือพระราหู หมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรกคือทุกข์ ผู้ใดจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระพุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองทิ้งลงไปในปากพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตเราให้ผ่องใสถึงจะเดินผ่านขึ้นไป บนสันของสะพานจะประกอบไปด้วยอสูรอมกัน 16 ตัว ข้างละ 8 ตัว อุปกิเลส 16 จากนั้นก็จะถึงกึ่งกลางสะพาน หมายถึง เขาพระสุเมระ เป็นที่อยู่ของเทวดา
                ด้านล่างเป็นสระน้ำ หมายถึง สันดรมหาสมุทร มีสวรรค์ตั้งอยู่ 6 ชั้นด้วยกัน ผ่านสวรรค์ 6 เดินลงไปสู่แผ่นดินของพรหม 16 ชั้น แทนด้วยดอกบัวทิพย์ 16 ดอก รอบอุโบสถ ดอกที่ใหญ่สุด 4 ดอก ตรงทางขึ้นด้านข้างโบสถ์ หมายถึง ซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ ประกอบด้วยพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นสงฆ์สาวกที่เราควรกราบไหว้บูชา

ก่อนขึ้นบันได

ครึ่งวงกลม หมายถึง โลกุตตรปัญญา บันไดทางขึ้น 3 ขั้น แทนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผ่านแล้วจึงขึ้นไปสู่แผ่นดินของอรูปพรหม 4 แทนด้วยดอกบัวทิพย์ 4 ดอก และ บานประตู 4 บาน บานสุดท้ายเป็นกระจกสามเหลี่ยมแทนความว่าง (ความหลุดพ้น) แล้วจึงจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่พุทธภูมิภายในประกอบด้วยภาพเขียนโทนสีทองทั้งหมด ผนัง 4 ด้าน เพดาน และพื้นล้วนเป็นภาพเขียนที่แสดงถึงการหลุดพ้นจากกิเลสมาร มุ่งเข้าสู่โลกุตรธรรมส่วนบนของหลังคาโบสถ์ ได้นำหลักธรรมอันสำคัญยิ่งของการปฏิบัติจิต 3 ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นำไปสู่ความว่าง (ความหลุดพ้น)

ช่อฟ้าเอก หมายถึง ศีล ประกอบด้วยสัตว์ 4 ชนิดผสมกัน แทน ดิน น้ำ ลม ไฟ ช้าง หมายถึง ดิน, นาค หมายถึง น้ำ, ปีกหงส์ หมายถึง ลม และหน้าอก หมายถึง ไฟ ขึ้นไปปกปักรักษาพระศาสนา บนหลัง ช่อฟ้าเอกแทนด้วยพระธาตุ หมายถึง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ข้อ และ 84,4000 พระธรรมขันธ์

ช่อฟ้าชั้นที่ 2 (บน) หมายถึง สมาธิ แทนด้วยสัตว์ 2 ชิด คือ พญานาคกับหงส์ เขี้ยวพญานาค หมายถึง ความชั่วในตัวมนุษย์ หงส์ หมายถึง ความดีงาม ศีลเป็นตัวฆ่าความชั่ว (กิเลส) เมื่อใจเราชนะกิเลสได้ก็เกิดสมาธิ มีสติกำหนดรู้เกิดปัญญา

ชั้นที่ 3 (สูงสุด) หมายถึง ปัญญา แทนด้วยหงส์ปากครุฑ หมอบราบนิ่งสงบไม่ปรารถนาใดๆ มุ่งสู่การดับสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสภายใน     ด้านหลังหางช่อฟ้าชั้นที่ 3 มีลวดลาย 7 ชิ้น หมายถึงโพชฌงค์ 7 ลาย 8 ชิ้นรองรับฉัตร หมายถึง มรรค 8 ฉัตรหมายถึงพระนิพพานลวดลายบนเชิงชายด้านข้างของหลังคาชั้นบนสุดแทนด้วยสังโยชน์ 10 เสา 4 มุม ด้านข้างโบสถ์ คือ ตุง (ธง) กระด้าง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าตามคติล้านนา
       


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติ เฉลิมชัย

 คำพูดคติให้เเง่คิด

อยากประสบความสำเร็จ ต้องทำมากกว่าคนอื่น!
ถ้าเราทำอะไรแบบคนธรรมดาเขาทำ เราก็จะเป็นคนธรรมดาแบบเขา แต่ถ้าเราทำมากกว่าคนอื่น แน่นอนผลลัพธ์ที่ออกมาเราก็จะได้มากกว่าคนอื่น เหมือนกับ อ.เฉลิมชัย ที่ทนอดอยากวาดรูปฟรีมา 4 ปี จนทุกวันนี้ประสบความสำเร็จ สร้างวัด ล่องขุ่น ด้วยเงินของท่านเอง หลายร้อยล้านบาท.
"อยากยิ่งใหญ่ มึงต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น มึงต้องเรียนรู้มากกว่าคนอื่น มึงต้องทำงานมากกว่าคนอื่น มึงมีความฝันและมึงทำความฝันของมึงด้วยใจของมึง" อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์.

คิดใหญ่
อ.เฉลิมชัย เป็นคนที่มีความฝันใหญ่ตั้งแต่เด็ก ว่าจะเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงให้ได้. ตั้งแต่เด็กอาจารย์ก็คิดใหญ่ อยากจะวาดรูปโพสเตอร์หน้าโรงหนังกลางใจเมือง ท่านเลยไปคลุกคลีฝึกฝนตัวเองอยู่กับคนกลุ่มนั้น โดยการไปช่วยเขาล้างพู่กันล้างผ้าใบ แล้วก็หัดวาดรูป จนอายุแค่ 14 ก็ได้วาดรูปโพสเตอร์หน้าโรงหนังสมใจ. ในเวลาต่อมาอาจารย์ก็มีเป้าหมายใหม่ที่ยิ่งใหญ่มากๆและที่สุดของท่าน นั่นคือการสร้างวัดล่องขุ่น ตอนนั้นท่านได้เดินไปที่วัดนั้นแล้วป่าวประกาศว่า "จะสร้างวัดนี้ ให้ยิ่งใหญ่ระดับโลกในอีก 10ปี ข้างหน้า" ชาวบ้านทุกคนคิดว่าอาจารย์บ้า. แต่วันเวลาผ่านไปได้พิสูจย์ให้ทุกคนเห็นว่าคนคนนี้ เจ๋งจริง...

"ผมเป็นคนคิดไกลมาก คิดว่าจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียงมาก ในระดับโลกคนจะต้องรู้จัก" อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์.

มึงบ่าดีฝัน...มันเป๋นไปบ่าได้ เพ้อเจ้อ...มันบ่าหมี๋ทางตี้ละอ่อน มันจะปิ๊กมานับถือความเป็นล้านนา!” (เอ็งอย่าไปฝัน...มันเป็นไปไม่ได้-เพ้อเจ้อ...มันไม่มีทางที่เด็กๆ มันจะกลับมานับถือความเป็นล้านนา”

เกิดอะไรขึ้น! ...ขณะที่ผู้เขียนนั่งคุยกับอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ อาจารย์กลับลุกขึ้นมาตะโกนในบางสิ่ง  แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ...อาจารย์ท่านก็สวนอีกหนึ่งหมัดเด็ดเข้าเต็มเป้า

        คิงเป๋นคนเมือง หยังบ่าอู้กำเมือง...ฮาเป็นคนเมืองฮากู้กำเมือง... ฮายโสทระนงในความเป็นล้านนาของฮา ถ้าคิงจะอู้กับฮา คิงก่อต้องอู้กำเมือง”

(เอ็งเป็นคนเหนือ...ทำไมไม่พูดคำเมือง...ข้าเป็นคนเมือง ข้าพูดคำเมือง...ข้ายะโสทระนงในความเป็นล้านนา ถ้าเอ็งจะคุยกับข้า เอ็งก็ต้องพูดคำเมือง)

       อาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินนามอุโฆตแห่งล้านนาผู้สะสมชื่อเสียงมายาวนาน ผู้สร้างงานพุทธศิลป์เพื่อแผ่นดิน หมู่มวลชาวไทยรู้จักผ่านปรากฏการณ์บนหน้าสื่อต่างๆ ถึง

             “เฉลิมชัยสไตล์” ด้วยเอกลักษณ์การพูดและตัวตนหนึ่งเดียวในโลก

แต่มีสิ่งหนึ่งนั้นที่อาจารย์ภูมิใจ ยโสและแสดงออกไม่เคยเปลี่ยน คือ “จิตวิญญาณแห่งล้านนา” ที่อาจารย์ขอลุกขึ้นทวงคืนจากคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ฐานะศิลปิน ไม่ใช่ฐานะผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นฅน “ชนล้านนา” ซึ่งไม่ต้องการเห็นคนล้านนาด้วยกัน ทำลายล้านนาทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว

        เสื้อหมอฮ่อมที่อาจารย์ใส่ ไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย แต่มันคือการสวมเอกลักษณ์แห่งล้านนา วาจาคำเมืองของอาจารย์ คือการสื่อสารที่ออกมาจากเหง้าของวัฒนธรรมฝังรากมานานหลายร้อยปี หลายครั้งที่พานพบเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ เข้ามาคารวะ จิตอาจารย์จะสั่งพิเคราะห์ถาม คนรุ่นใหม่อย่าลืมกำพืดและความเป็นตัวตน          ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปรไม่หยุดยั้ง อารยธรรม และวัฒนธรรมโบราณของชนชาติต่างๆ ต้องสูญสิ้นลง ด้วยการถูกกลืนจากต่างอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า สู่การกลายพันธุ์ หรือสูญพันธุ์ล่มสลาย ซึ่งวัฏจักรของการทำลายล้างของผู้มีอำนาจเหนือกว่า ไม่มีใครจะยับยั้งได้

            ....หลังจากที่ลุกขึ้นยืนเปี่ยมพลังเมื่อครู่ อาจารย์ได้นั่งลงและบอกเราบนผืนเสื่อ...

         ''เป็นคนเมืองก็ต้องพูดกำเมือง สำหรับคนต่างถิ่น เมื่อคุณมาอยู่เมืองเหนือคุณต้องเข้าใจกำเมือง ซึมซับวัฒนธรรมของผม เพราะคุณมาในแผ่นดินของผม ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย ต้องเขาใจภาเหนือของเราและเราต้องยื่นวัฒนธรรมของเราให้เขา แทนที่จะรับอย่างเดียว 
                ความเป็นล้านนา คือความยิ่งใหญ่ของชนชาติ ถ้าคนรู้ประวัติศาสตร์รู้ภาษาล้านนาก็รักล้านนาเพราะมันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่และความงดงาม..ผู้คนต่างเข้าใจว่าเราคือคนไทย
                ปัจจุบัน อารยธรรมจากต่างชาติ การใช้ชีวิตในรูปแบบทุนนิยมคือสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณล้านนาค่อยล่มสลายมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อรุ่นแม่สู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งน้อยคนนักจะ “อู้กำเมือง” และใช้ชีวิตในวิถีแห่งล้านนา ตั้งแต่รากของปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต
                การใส่ เราสวมเสื้อยืดสกรีนคำด่าพ่อล่อแม่ของฝรั่งมังค่า แต่เรากลับภูมิใจที่เอาคำไม่ดีเหล่านี้มาไว้บนตัวเรา ใส่เสื้อตัวเล็กคับติ้ว สายเดี่ยวเห็นเสื้อใน ทิ้งม่อฮ่อมชุบผงครามและผ้าซิ่นลงในตระกร้า
                การกิน เราตกเป็นทาสพิซซ่า อาหารฟาสฟู๊ดจากต่างชาติ แทนที่จะเป็นน้ำพริกอ่องน้ำพริกหนุ่ม เราเข้าเมกะสโตร์ค้าปลีกจากต่างประเทศแทนที่จะเป็นกาดมั่วกาดแลง

          การอยู่ เรามีเพื่อนคู่ใจคือมอเตอร์ไซด์คันเทห์ หรือรถยนต์คันซิ่งทิ้งส่ามล้อหรือจักรยานไว้ในกองเศษเหล็ก เรามีเพื่อนบ้านข้างเคียงคือห้างสรรพสินค้าและไม่สนทนากับเพื่อนเก่าอย่างวัดวาอาราม และพิพิธภัณฑ์

          การรักษา เราเข้าฟิสเนส ออกกำลังกาย ซื้อยาบำรุง อาหารเสริม กระดกยานอนหลับ กินยาคลายเครียด ทั้งๆ ที่คนรุ่นปู่ย่าตายาย ท่านยังอยู่มาได้ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้

เรากำลังจะเดินไปทางไหน สิ่งใดอยู่ปลายทาง แม้แต่อาจารย์เฉลิมชัย ยังต้องถอนหายใจ

         เรื่องเหล่านี้มัน โคตรยากที่จะแก้ เพราะเราถูกทำลายมาหลายยุคหลายสมัย จะมาเรียกร้องกลับคืนไม่ได้ แม้แต่วัดวาอารามจะหาวัดที่เป็นล้านนาจริงๆ สมัยนี้มันหายาก"

บทสรุปที่เลือก 

      การที่เลือกศึกษาเกี่ยวกับอาจารย์เฉลิมชัย. เเละนำมาไห้ทุกคนได้อ่านเป็นเพราะอาจารย์เฉลิมชัยเป็นบุคคลที่รักในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองมีการมาพัฒนาไห้เจริญเเละเป็นที่รู้จักออกไปในสังคนผู้คนอีกมากมายทั้งคนไทยเเละต่างประเทศเเล้วยังมีการเเต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์โดยการใส่เสื้อหมอฮ่อมที่เเสดงให้เห็นถึงความเป็นล้านนา ยังเป็นคนยึดมุ่นในอุดมคติ มีความตั้งใจที่ตั้งเเล้วก็จะทำไห้ได้เเละเป็นบุคคลที่มีฝีมือ เป็นจิตรกรไทยมีผลงานจิตรกรรมไทยหลายผลงาน ทั้ง ภาพจิตรกรรมไทยในอุโบสถวัดพุทธประทีป เ ขียนภาพประกอบบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก และผลงานศิลปะที่ วัดร่องขุ่น ซึ่งมีงานสถาปัตถยกรรม  ประติมากรรมปูนปั้น  เเละได้รับไห้เป็นศิลปินเเห่งชาติ  ทำไห้ทั้งคนไทยเเละชาวต่างชาติอยากที่จะไปชมความงามของวัดร่องขุ่น เเละที่สำคัญคือ อาจารย์เฉลิมชัยเป็นบุคคลที่พูดตรงมากเเต่คำพูดที่ตรงก็มีเหตุผลประกอบเสมอ คำพูดที่ว่าเเรงก็บังเเฟงไปด้วยข้อคิดอีกมากมาย ที่สามารถนำไปไช้ในชีวิตประจำวันได้
อ้างอิง
        watrongkhun.(2554).วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ผลงานของท่าน อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์.(ออนไลน์).สืบค้นจาก:http://www.วัดร่องขุ่น.com.ค้นเมื่อ:3 กันยายน 2561

สรุปบทความโดย
นางสาวปิยฉัตร  คงโตรม  รหัสนิสิต611071511
คณะเศรษฐศาสตร์เเละบริหารธุรกิจ
วิชาเอกเศรษฐศาสตร์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องสั้น กาน้ำชาสอนใจ ผู้เเต่ง: - ที่มา:    http://winne.ws/n6859 เรื่องสั้นที่มีคติ           ที่บ้านมีกาน้ำชาสูงค่า เพราะเป็นกาที่ปั้นมาจากดินชนิดพิเศษสุดของประเทศจีน เลยวางไว้หัวเตียงอย่างทะนุถนอม  มีอยู่คืนหนึ่ง ด้วยความไม่ระวัง มือไปปัดโดนฝากาน้ำชากระเด็นตกสู่พื้น ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ เมื่อคิดว่าทำฝาแตกแล้ว จะเก็บกาไว้ให้ดูเจ็บใจเล่นทำไม คิดได้ดังนั้นเลยหยิบกาน้ำชาขว้างออกไปนอกหน้าต่าง     รุ่งเช้าตื่นมาลุกลงจากเตียง เห็นฝากาน้ำชาหล่นอยู่บนรองเท้านุ่นที่ข้างเตียง ไม่มีอะไรแตกเสียหาย กาน้ำชาก็ขว้างทิ้งไปแล้ว ยิ่งเจ็บใจ เลยกระทืบฝาจนแตกละเอียด  พอตอนสายเดินออกไปนอกบ้าน ปรากฏว่ากาน้ำชาที่ขว้างออกไปเมื่อคืนนั้น ยังคาอยู่บนต้นไม้ไม่มีอะไรบุบสลาย บาง เรื่องบางเรื่อง รอสักนิด ดูสักหน่อย ตรองสักพัก เพราะเรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเราเข้าใจ ความวู่วามเปรียบเหมือนปีศาจร้าย ฝึกให้ใจเย็นไว้หน่อย นั่นคือวิถีของคนฉลาด         ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง       ...

เเนะนำตัว

สวัสดีค่ะ 😊 ชื่อ-นามสกุล นางสาวปิยฉัตร คงโตรม กำลังศึกษาอยู่ คณะเศรษฐศาสตร์เเละบริหารธุรกิจ วิชาเอกเศรษฐศาสตร์ รหัสนิสิต 611071511